Trip story, family and friendship
1. การสอบใบขับขี่ ครั้งแรกเจ้าหน้าที่ถามผมว่าอยากสอบแบบไหน แต่เนื่องความความทิฐิผมจึงขอสอบเอง เจ้าหน้าที่จึงให้ข้อสอบชุดที่ยากที่สุดมาให้ ผมสอบข้อเขียนตกสองรอบ รอบที่สามจึงผ่านได้ จากการสอบทำให้ผมคิดได้ว่า คะแนนที่สอบผ่านกับคุณภาพของผู้ขับขี่บนท้องไม่มีความสัมพันธ์กันเลย2. สมัยเรียนป.ตรี เป็นคณะที่มีหลายเอกและคนมาก ในช่วงปีสาม เพื่อนๆจัดไปเที่ยวกัน ผมปฏิเสธเพราะกลุ่มซี้ๆไม่มีใครไปเลย แต่มีเพื่อนคนหนึ่งบอกผมว่า คนอื่นๆก็เพื่อนเหมือนกันทำไมจะไม่ไป แต่ท้ายที่สุดผมก็ไม่ไปและเสียดายโอกาสที่จะได้เพื่อนสนิทเพิ่มขึ้น3. เรื่องเรียน ร.ด. เป็นอีกเรื่องที่เสียใจในความเขลาและยโสของตัวเอง เนื่องจากสมัยม.ปลายต้องเรียนพิเศษและอยากเอาเกรดสวยๆมาให้แม่ชื่นชมและคิดว่าตัวเองมีพรสรรค์ในการเรียนหนังสือ (ได้ดีกว่าพี่น้องและเชื่อว่าทำให้แม่รักเรากว่าคนอื่นๆ) จึงไม่อยากเสียเวลาและไม่อยากลำบาก ประกอบกับคิดว่าา เกณฑ์ทหารนั้นเส้นได้เลยไปไม่สมัครเรียน พอเห็นเพื่อนๆสนุกกับชีวิตม.ปลายมากๆ ได้ร่วมลำบากด้วยกัน ทำให้ผมเสียดายจริงๆว่าเราใช้ชีวิตม.ปลายไม่คุ้มค่าเลย ยิ่งสอบเทียบได้เข้ามหาลัยก่อนเพื่อนๆ ยิ่งทำให้สายสัมพันธ์กับเพื่อนม.ปลายเหลือน้อยเต็มที พอต้องมาเสียเงินเส้นไม่ไปจับใบดำใบแดงก็คิดว่าเราเองก็มีส่วนส่งเสริมให้การคอร์รับชันมามากขึ้นด้วย4. พ่อแม่รังแกฉัน คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง เนื่องจากสมัยก่อนป๊าลำบากมาตั้งแต่เด็กและประสบความสำเร็จในอาชีพตั้งแต่อายุไม่มาก พอมีผมขึ้นมา ป๊าไม่เคยบังคับให้ทำงานหรือเรียนรู้กิจการอะไรเลย ผมก็คิดแค่ว่าเราเรียนให้ดีก็พอแล้ว พอโตขึ้นจริงเราไม่สนิทกับป๊าเลย ตื่นมาป๊าก็ไปทำงานกว่าจะกลับเราก็หลับ เสาร์อาทิตย์เราก็ไม่ไปดูกิจการทำให้เราไม่มีอะไรจะคุย ไม่ผูกพัน พออายุ17ก็ไปเรียนมหาลัยอยู่หอ เรียนจบก็ทำงานบริษัท จนมาวันนี้เลยไม่คิดว่าเราจะกลับไปทำงานที่บ้านได้ คิดๆอีกแง่นึก ถ้าป๊าบังคับเราตั้งแต่เล็กให้สืบทอดกิจการ เราคงมีครอบครัวที่อบอุ่นกว่านี้ไม่ต้องเป็นลูกจ้างบริษัท เอ..จริงๆแล้วความผิดส่วนมากคงอยู่ที่เราไม่ใส่ใจป๊ามากกว่า5. คนขี้เหงา ผมเป็นคนที่อยู่คนเดียวได้นะครับ แต่มันไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไร ยิ่งอยู่คนเดียวมากเท่าไร ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เราเกิดมาทำไม อะไรต่อมิอะไรมันทำให้ใจฟุ้งซ่านมากกว่าจะเกิดความสงบ โชคดีที่ผมเป็นประเภทบ้าออกกำลังกาย ทำให้เวลาว่างนั้นลดน้อยไปได้มาก กะว่าถ้าอายุมากๆคงต้องหันมาเล่นกลอฟ์ ทั้งๆที่เคยบอกกับเพื่อนๆไว้ว่า กีฬาบ้าอะไรก็ไม่รู้ เดินถือไม้ตีลูกลงหลุมเล็กๆเหมือนคนบ้า สนามก็เปลืองพื้นที่เปลืองน้ำ เอ..หรือเราจะต้องกลืนคำพูดตัวเองสักวันหนึ่ง
เข้ามาอ่าน "คำสารภาพ 5 ข้อของนาย blue sea"555 ล้อเล่นๆ นะคะปล. ตามกฏ เค้าให้ tag ต่ออีก 5 คนด้วยนะเออ !ปล2. ภาพนี้ถ่ายที่ไหนเอ่ย?ปล3. ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ อุตส่าห์เขียนอะไรตั้งมากมาย ทำให้เรารู้จักบางแง่มุมของคุณ blue sea เพิ่มมากขึ้น :)
ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมดุสิตหัวหินครับ ตั้งแต่ไปteam buildingปลายปีที่แล้วเรื่องส่งต่อ ตอนนี้กำลังนึกๆอยู่ว่าจะส่งให้ใครดี เดี๋ยวจะบอกให้นะครับว่าได้มาจากคุณโซ
แสดงความคิดเห็น
3 ความคิดเห็น:
1. การสอบใบขับขี่ ครั้งแรกเจ้าหน้าที่ถามผมว่าอยากสอบแบบไหน
แต่เนื่องความความทิฐิผมจึงขอสอบเอง เจ้าหน้าที่จึงให้ข้อสอบชุดที่
ยากที่สุดมาให้ ผมสอบข้อเขียนตกสองรอบ รอบที่สามจึงผ่านได้ จาก
การสอบทำให้ผมคิดได้ว่า คะแนนที่สอบผ่านกับคุณภาพของผู้ขับขี่บน
ท้องไม่มีความสัมพันธ์กันเลย
2. สมัยเรียนป.ตรี เป็นคณะที่มีหลายเอกและคนมาก ในช่วงปีสาม
เพื่อนๆจัดไปเที่ยวกัน ผมปฏิเสธเพราะกลุ่มซี้ๆไม่มีใครไปเลย แต่มี
เพื่อนคนหนึ่งบอกผมว่า คนอื่นๆก็เพื่อนเหมือนกันทำไมจะไม่ไป แต่
ท้ายที่สุดผมก็ไม่ไปและเสียดายโอกาสที่จะได้เพื่อนสนิทเพิ่มขึ้น
3. เรื่องเรียน ร.ด. เป็นอีกเรื่องที่เสียใจในความเขลาและยโสของตัวเอง
เนื่องจากสมัยม.ปลายต้องเรียนพิเศษและอยากเอาเกรดสวยๆมาให้แม่
ชื่นชมและคิดว่าตัวเองมีพรสรรค์ในการเรียนหนังสือ (ได้ดีกว่าพี่น้อง
และเชื่อว่าทำให้แม่รักเรากว่าคนอื่นๆ) จึงไม่อยากเสียเวลาและไม่
อยากลำบาก ประกอบกับคิดว่าา เกณฑ์ทหารนั้นเส้นได้เลยไปไม่สมัคร
เรียน พอเห็นเพื่อนๆสนุกกับชีวิตม.ปลายมากๆ ได้ร่วมลำบากด้วยกัน
ทำให้ผมเสียดายจริงๆว่าเราใช้ชีวิตม.ปลายไม่คุ้มค่าเลย ยิ่งสอบเทียบได้
เข้ามหาลัยก่อนเพื่อนๆ ยิ่งทำให้สายสัมพันธ์กับเพื่อนม.ปลายเหลือน้อย
เต็มที พอต้องมาเสียเงินเส้นไม่ไปจับใบดำใบแดงก็คิดว่าเราเองก็มีส่วน
ส่งเสริมให้การคอร์รับชันมามากขึ้นด้วย
4. พ่อแม่รังแกฉัน คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง เนื่องจาก
สมัยก่อนป๊าลำบากมาตั้งแต่เด็กและประสบความสำเร็จในอาชีพตั้งแต่
อายุไม่มาก พอมีผมขึ้นมา ป๊าไม่เคยบังคับให้ทำงานหรือเรียนรู้กิจการ
อะไรเลย ผมก็คิดแค่ว่าเราเรียนให้ดีก็พอแล้ว พอโตขึ้นจริงเราไม่สนิท
กับป๊าเลย ตื่นมาป๊าก็ไปทำงานกว่าจะกลับเราก็หลับ เสาร์อาทิตย์เราก็
ไม่ไปดูกิจการทำให้เราไม่มีอะไรจะคุย ไม่ผูกพัน พออายุ17ก็ไปเรียน
มหาลัยอยู่หอ เรียนจบก็ทำงานบริษัท จนมาวันนี้เลยไม่คิดว่าเราจะ
กลับไปทำงานที่บ้านได้
คิดๆอีกแง่นึก ถ้าป๊าบังคับเราตั้งแต่เล็กให้สืบทอดกิจการ เราคงมี
ครอบครัวที่อบอุ่นกว่านี้ไม่ต้องเป็นลูกจ้างบริษัท เอ..จริงๆแล้วความ
ผิดส่วนมากคงอยู่ที่เราไม่ใส่ใจป๊ามากกว่า
5. คนขี้เหงา ผมเป็นคนที่อยู่คนเดียวได้นะครับ แต่มันไม่ค่อยน่าอยู่
เท่าไร ยิ่งอยู่คนเดียวมากเท่าไร ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เราเกิดมาทำไม
อะไรต่อมิอะไรมันทำให้ใจฟุ้งซ่านมากกว่าจะเกิดความสงบ โชคดีที่ผม
เป็นประเภทบ้าออกกำลังกาย ทำให้เวลาว่างนั้นลดน้อยไปได้มาก กะ
ว่าถ้าอายุมากๆคงต้องหันมาเล่นกลอฟ์ ทั้งๆที่เคยบอกกับเพื่อนๆไว้ว่า
กีฬาบ้าอะไรก็ไม่รู้ เดินถือไม้ตีลูกลงหลุมเล็กๆเหมือนคนบ้า สนามก็
เปลืองพื้นที่เปลืองน้ำ เอ..หรือเราจะต้องกลืนคำพูดตัวเองสักวันหนึ่ง
เข้ามาอ่าน "คำสารภาพ 5 ข้อของนาย blue sea"
555 ล้อเล่นๆ นะคะ
ปล. ตามกฏ เค้าให้ tag ต่ออีก 5 คนด้วยนะเออ !
ปล2. ภาพนี้ถ่ายที่ไหนเอ่ย?
ปล3. ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ อุตส่าห์เขียนอะไรตั้งมากมาย ทำให้เรารู้จักบางแง่มุมของคุณ blue sea เพิ่มมากขึ้น :)
ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมดุสิตหัวหินครับ ตั้งแต่ไปteam buildingปลายปีที่แล้ว
เรื่องส่งต่อ ตอนนี้กำลังนึกๆอยู่ว่าจะส่งให้ใครดี เดี๋ยวจะบอกให้นะครับว่าได้มาจากคุณโซ
แสดงความคิดเห็น